สมาคมผู้ถือหุ้นไทยTHAI SHAREHOLDER ASSOCIATION
tsa.or.th
ข่าวสารความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนักลงทุน

แผนลงทุน ปี 2016

 แผนลงทุน ปี 2016

ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดภาพใหญ่ของการลงทุนทั่วโลกคือราคาน้ำมันต่ำ ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับขึ้น แต่ดอกเบี้ยจีน ญี่ปุ่น และยุโรป จะยังถูกกดให้ต่ำลงต่อตามนโยบายของแต่ละประเทศ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มุ่งเป็นขาขึ้น เศรษฐกิจจีน ชะลอการขยายตัว เศรษฐกิจของประเทศที่มีรายได้พึ่งพาน้ำมันและสินค้าคอมมอดิตี้ จะมีปัญหา ค่าเงินสหรัฐฯแข็งค่า ขณะที่ค่าเงินประเทศต่าง ๆ อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินสหรัฐฯ รวมถึงค่าเงินบาทของไทย ส่วนที่เรายังควรต้องเพิ่มความระมัดระวังเหมือนปีที่แล้วคือ จีนขยับค่าเงินหยวนให้อ่อนค่า สหรัฐฯ แสดงท่าทีจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องหลายครั้งในรอบปี เศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันส่อเค้าเกิดปัญหาหนัก แต่หากมองในด้านดี การรวมตัวเข้าเป็น AEC รวมถึงการเติบโตของประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) น่าจะมีแรงขับเคลื่อนของขนาดตลาดที่ขยายใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการรายงานตัวเลขการส่งออกของไทยรายเดือน (ประมาณข่วงวันที่ 20 ของทุกเดือน) การรายงานผลประกอบการของ บจ.ที่อาจจะสร้างจุดเปลี่ยนให้แก่ทิศทางการลงทุน จากขาลงอาจจะกลับมาขึ้นได้บ้าง หรือหากยังไม่มีอะไรดีขึ้น ก็มีสิทธิ์ลงต่อ  อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเห็นความอ่อนแอต่อไปในปี 2016 ยังเป็น สื่อสารประเภท network provider  พลังงาน ประเภท สำรวจและผลิตเชื้อเพลิง กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะจบรอบขาขึ้นก็คาดว่าเป็น รับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ปิโตรเคมีต้นน้ำ รวมถึงพลังงานทดแทน แต่ที่น่าจะเริ่มดีขึ้นได้แล้วมองว่าเป็น ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้างเกี่ยวกับโทรคมนาคม โรงกลั่น ปิโตรเคมีปลายน้ำ เป็นต้น   

ปัจจัยเรื่องราคาน้ำมัน ในปี 2015 ราคาน้ำมันลดลงเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ปี 2016 เราก็ยังคาดหวังว่าราคาน้ำมันอาจจะลงต่อแต่ไม่มาก คาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์เฉลี่ยปี 2016 ในช่วงราว 40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งค่าเฉลี่ยปี 2015 อยู่ที่ราว 50 เหรียญสหรัฐฯ ราคาน้ำมันต่ำเกิดจากซัพพลายที่เพิ่มขึ้นจากทุกทิศทุกทาง ขณะที่ดีมานด์ก็ยังทรงตัว แต่เติบโตต่ำ 1 ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ซัพพลายจากแหล่งผลิตใหญ่ ๆ อย่างเช่น อิหร่าน คาดว่าจะเข้ามาสู่ตลาด ซึ่งในปี 2016 หากราคาน้ำมันปรับขึ้นหนีจุดต่ำสุดที่แถว 35-36 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไปได้จะส่งผลบวกต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ผลลบคงสะท้อนไปหมดแล้ว หากภาพราคาน้ำมันเป็นอย่างที่คาดการณ์ Theme อันดับหนึ่งของการลงทุนในปี 2016 ก็น่าจะยังเป็น Theme ราคาน้ำมันลงและทรงตัวระดับต่ำ หุ้นในกลุ่มโรงกลั่น จะได้ประโยชน์สูงสุดเพราะถือเป็นผู้ใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบในการผลิต 100 เปอร์เซ็นต์ ดีมานด์น้ำมันสำเร็จรูปของโลกและของในประเทศไทย ไม่ได้ลดลงกลับปรับเพิ่มขึ้นด้วย เพิ่มขึ้น 1.48 เปอร์เซ็นต์ และ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ หุ้นที่ดำเนินธุรกิจนี้ อย่างไรก็ตาม จังหวะเข้าซื้อก็น่าจะรอสำรวจผลประกอบการปี 2015 ก่อน เพราะโรงกลั่นใหญ่อาจจะยังมี stock loss เพราะราคาน้ำมันสิ้นไตรมาส 4/15 ปรับตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าราว 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เป็นผู้เสียเปรียบในกรณีราคาน้ำมันราคาอ่อนตัวลง คือ ก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี เพราะการบริโภคในประเทศลดลง 10.3 เปอร์เซ็นต์ และ 3.3 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ในปี 2015  เพราะน้ำมันเข้าไปแทนที่การใช้ในประเทศมากพอสมควร ซึ่งอาจจะส่งผลต่อหุ้นค้าปลีกก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี ฯลฯ ในทางลบ  นอกจากนี้ผู้ผลิตยางมะตอย ก็ใช้น้ำมันดิบเป็นต้นทุนการผลิต 100 เปอร์เซ็นต์ stock loss มีบ้างแต่ไม่ค่อยมีนัยยะ เพราะในอดีตที่ผ่านมา ราคาน้ำมันลง 10 เปอร์เซ็นต์ ราคายางมะตอยจะปรับลดลง 2 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาราคาน้ำมันขึ้นก็คงเช่นกัน ดังนั้น หุ้น TASCO ที่ผลิตยางมะตอย จึงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนเฉพาะเวลาที่น้ำมันเป็นขาลงและทรงตัวในระดับต่ำ หากน้ำมันปรับทิศเป็นขาขึ้น ก็สมควรแก่เวลาที่จะขายทำกำไร   นอกจากนี้ กิจการเรือคอนเทนเนอร์ ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนผลิตราว 70 เปอร์เซ็นต์ กิจการสายการบินใช้น้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ แต่ธุรกิจเดินเรือ และสายการบินก็จะมีต้นทุนอื่นอยู่ในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่รายรับส่วนใหญ่เป็นเงินบาท ซึ่งปัจจัยบวกอาจถูกหักล้างไปหากค่าเงินบาทอ่อน ภาพอาจจะเปลี่ยนแปลงได้หากราคาน้ำมันขึ้นทะลุ 35 เหรียญสหรัฐฯ ในกรอบล่าง และทะลุ 50 เหรียญสหรัฐฯ ได้ในกรอบบน เพราะหากราคาน้ำมันต่ำกว่า 35 เหรียญฯ โรงกลั่นจะเกิด stock loss และหากน้ำมันทะลุ 50 เหรียญฯ ผู้ประกอบการยางมะตอย จะมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง

อย่างไรก็ตาม Theme อันดับหนึ่งสำหรับการลงทุนในปี 2016 ก็ยังยกให้เป็น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลง จนกว่าทิศทางของราคาน้ำมันจะมีการเปลี่ยนทิศทาง

ปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินต่างประเทศ มีทิศทางผสมผสาน ไม่ไปในทางเดียวกันทั้งโลก แต่ก็ยังเป็นยุคของอัตราดอกเบี้ยต่ำ ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่เตรียมจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่า กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศได้ แต่ต้นทุนการเงินสำหรับการลงทุนอาจจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ เอง ทำให้เชื่อว่าเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยในครั้งต่อไปยากขึ้น Dollar Carry Trade ซึ่งเป็นเงินร้อนเข้ามาลงทุนใน Emerging market คงจะหายไป ส่วนทางการจีนที่พร้อมจะลดดอกเบี้ย ผ่อนคลายทางการเงิน รวมถึงประกาศให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง เป็นปัจจัยกดดันการส่งออกของไทยไปประเทศจีนมากขึ้น และยังกดดันราคาสินค้าคอมมอดิตี้ เรื่องทิศทางดอกเบี้ยและค่าเงินของต่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยลบต่อการลงทุนหุ้นไทยในปี 2016 อย่างไรก็ตาม เราอาจมองเห็นปัจจัยบวกที่มาจากการขยายการลงทุนรวมถึงความต้องการแหล่งเงินทุนของประเทศแถบ CLMV 

การก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเฉพาะการพัฒนาความเจริญของ CLMV เราเชื่อว่า Theme CLMV จะเป็น อีกหนึ่ง Theme เด่นประจำปี 2016 ที่เน้นไปที่  CLMV มากกว่าทั้งหมดที่เป็นอาเซียน เนื่องจากการขยายตัวของ GDP ทั้ง 4 ประเทศนี้ โดดเด่นติดอันดับโลกในระดับ 6-8% และวัฒนธรรม วิถีชีวิต มีความใกล้เคียงกับประเทศไทย การเจาะตลาดไม่น่าจะยากมากนัก แต่ความเสี่ยงก็สูงมากด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเน้นไปที่ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการเปิดตลาด CLMV มากกว่าผู้ที่เพิ่งริเริ่มจะเข้าไปทำธุรกิจ และยังไม่ประสบความสำเร็จ

กิจการที่สามารถสร้างนวัตกรรม นักลงทุนก็ยังน่าเลือกกิจการ และผู้ประกอบการที่มีความสามารถจะสร้างนวัตกรรมใหม่ หรือพูดง่าย ๆ คือ มีครีเอทีฟที่จะผลิตสิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ และขายได้ในเชิงพาณิชย์ น่าจะได้รับความสนใจมากกว่าผู้ผลิตสินค้าระดับ mass ไม่มีความแตกต่างจากคู่แข่งขัน ซึ่งการมีนวัตกรรมไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์สินค้า การสร้างแบรนด์ตัวเองให้แข็งแกร่ง เป็นเรื่องสำคัญมาก เรียกได้ว่า ถ้าเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม นักลงทุนควรเรียกหากิจการที่เป็น ODM (ผลิตสินค้าเน้นมีดีไซน์ให้ลูกค้า) และ OBM (ผลิตสินค้าเน้นแบรนด์ที่เข้มแข็งของตัวเอง) ซึ่งยกระดับขึ้นมาอีกขึ้นของผู้ผลิตที่เป็น OEM (ผลิตสินค้าได้เฉพาะตามความต้องการลูกค้า)

การเร่งลงทุนของภาครัฐบาล จะหนุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างต่อหรือไม่? เรื่องการลงทุนภาครัฐบาลถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งแต่กลางปี 2014 ที่มีรัฐบาล คสช. แล้ว แต่ในด้านการใช้จ่ายและการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงในช่วง 1.5 ปีที่ผ่านมายังคงน้อยมาก และเริ่มถูกมองว่าขาดความน่าเชื่อถือ แม้รัฐบาลลงทุนได้จริงตามที่วางแผนไว้ แต่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เป็นหุ้นหลักนั้น เรามองว่าน่าจะจบรอบใหญ่ไปแล้วในปี 2014-2015 หากไม่มีโครงการน่าสนใจที่ใช้งบลงทุนมาก ๆ เข้ามาหนุน ก็คงไม่น่าจะมี upside มาก อีกอย่างราคาก็มาถึงเป้าหมายที่ควรจะเป็นแล้ว ขณะที่กำไรก็ยังไม่สามารถทำได้ดีอย่างจริงจัง หากจะเป็น Theme ย่อย ที่น่าสนใจอาจจะเป็นเรื่องการลงทุนในเหมืองโปแตช ที่รัฐบาลไทยหนุนเต็มที่ และเป็นโครงการร่วมทุนกันในกลุ่มประเทศต่าง ๆ ซึ่งโครงการนี้ TRC เข้าไปถือหุ้น ราว 14-15 เปอร์เซ็นต์แล้ว นอกจากนี้ยังรอการได้รับประทานบัตรอีกหนึ่งโครงการที่อุดรธานี ซึ่งเจ้าของโครงการคือ ITD หากผ่านการประชาพิจารณ์จากประชาชนในพื้นที่ อาจจะกลับมาเพิ่ม sentiment การลงทุนให้กับ ITD เพิ่มเติม ความเห็นก็คือคาดว่าปี 2016 นี้ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างไม่น่าจะ Outperform แต่อาจเล่นเก็งกำไรในช่วงแคบ ๆ ได้เท่านั้น การลงทุนภาครัฐบาลน่าจะส่งเสริมหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างมากกว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีก คาดว่ากลับมาน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ถ้าพึ่งพาเฉพาะตลาดในประเทศ เราเชื่อว่าใกล้อิ่มตัวแล้ว แต่หากสินค้าในมีแนวโน้มขยายตลาดไปต่างประเทศได้ โดยเฉพาะ CLMV  หรือจับตลาดนักท่องเที่ยวได้ เราคาดว่ารุ่ง นอกจากนี้ การเติบโตของสินค้าอุปโภคบริโภค จากนี้ไป เชื่อว่าต้องพึ่งพา นวัตกรรม การคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคดีขึ้น รวมทั้งต้องพึ่งการโฆษณา โปรโมชั่น หากสำเร็จก็จะเป็นผู้ชนะ

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว คาดว่าตัวเด่นสุดยังเป็น AOT ซึ่งนักลงทุนที่ยังไม่ได้ครอบครองหุ้นนี้ ก็ควรหาจังหวะราคาดี ๆ ที่จะเข้าซื้อ ทั้งนี้เพราะยังมีสตอรี่ที่ดีหนุน แต่เรากลับมองว่าการเปิดดอนเมืองเฟส 2 เป็นปัจจัยบวก แต่หากจะเริ่มลงมือทำสุวรรณภูมิ เฟส 2 เป็นปัจจัยที่อาจจะส่งผลลบ เพราะเข้ายุคลงทุนหนักหลายปี  

หาก Fundflow เกิดมีการไหลกลับ คาดว่าจะส่งผลบวกให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เพราะราคาหุ้นลงมาสู่ระดับที่มี PER ต่ำ ยังสามารถประคองกำไรต่อเนื่องไปได้ แม้ว่าจะมี growth ไม่สูง แต่ปันผลสูงกันราว ๆ 4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ซึ่งก็น่าสนใจในช่วงก่อนที่จะจ่ายปันผลเดือน เม.ย.-พ.ค.

กลุ่มที่น่าหลีกเลี่ยงต่อเนื่อง ได้แก่

กลุ่มสื่อสารประเภท network provider เพราะสงครามราคาเกิดขึ้นแล้ว ณ ตอนที่ TRUE เข้ามาเป็นผู้ประกอบการหลักรายใหม่ในตลาดมือถือ ช่วงต้นยุค 2000 ราคาหุ้น และผลประกอบการของ ADVANC และ DTAC ก็ดิ่งต่อ ลงไปหนักแล้ว ก็ไม่รีบาวด์ขึ้นได้เร็ว ต้องรอจนมีแนวโน้มว่าสงครามราคายุติลงได้ หุ้นจึง perform กลับขึ้นมา กินเวลาช้ามาก 5-7 ปี เสียเวลารอ แม้ราคาหุ้นที่ตกต่ำลงไปหนักมาก ท้ายสุดอาจจะดีดกลับขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังเสี่ยงสูงที่จะเป็นเด้งเพื่อลงต่อ เกิดอาการอย่างนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานยังจะกลับขึ้นมาได้ก่อนกลุ่มสื่อสารเสียอีก อย่างไรก็ตาม  Theme รับเหมาก่อสร้างในกลุ่มสื่อสาร อาจจะเป็น sub sector ที่น่าสนใจที่สุดในหมวดสื่อสาร

กลุ่มสื่อ-ทีวีดิจิตอล ก็ยังคงน่าหลีกเลี่ยง เป็นกลุ่มที่มาด้วยความคาดหวังสูง โฆษณา ก็ไม่ได้เข้ามากเหมือนอย่างที่คาดหวัง แต่ไม่สามารถทำกำไรได้อย่างที่คาดหวัง นอกจากนี้ การเข้ามาของ 4G ยังมีอำนาจการทำลายล้างได้อีกหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค รวมถึงทีวีดิจิตอล เหล่านี้เป็นเรื่องที่เรากังวล

อุตสาหกรรมพลังงานประเภทสำรวจและผลิตเชื้อเพลิง อาจจะยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน หากราคาน้ำมันยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ความเสี่ยง-ผลตอบแทนที่ได้อาจจะไม่คุ้มกัน หากลงทุนกลุ่มพลังงาน ให้เลือกไปที่โรงกลั่น

อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ก็ Underperform ตามราคาน้ำมันที่อ่อนแอลงด้วย เห็นชัดว่าพอราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลงรอบใหม่หลังจบไตรมาส 2/15 กลุ่มนี้ก็เกิดการอ่อนตัว และแม้ว่า SET จะปรับตัวดีขึ้นช่วงเดือน ก.ย-พ.ย.15 กลุ่มนี้ก็ไม่ปรับตัวดีขึ้นมาตาม SET ราคาน้ำมันที่ตกต่ำ กดหุ้นกลุ่มนี้ และเริ่มเห็นแล้วว่า หุ้นกลุ่มนี้ในต่างประเทศ ก็เริ่มถูกกำหนดให้มี PER ที่ต่ำเพียง 5-11 เท่า หลังจากที่ผลกำไรเกิดการอิ่มตัวไปแล้ว สุดท้ายกลุ่มนี้ก็อาจจะเหมือนกลุ่มโรงไฟฟ้าดั้งเดิม เช่น EGCO RATCH ที่พออิ่มตัวแล้ว หุ้นก็ไม่ perform ด้านราคาอีก มีแค่ถือไว้รับปันผล และราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงเมื่อตลาดลงด้วย

อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยังน่าหลบหลีกปิโตรเคมีต้นน้ำ เพราะเผชิญซัพพลายเติมเข้ามาไม่หยุด ยังคงแนะนำให้เน้นลงทุน-เก็งกำไรที่ปิโตรเคมีปลายน้ำ เช่นพวกที่ผลิต ถุง ถัง กะละมัง หวี ฯลฯ ต้นทุนวัตถุดิบ ที่ปีนี้คาดว่าราคาเม็ดพลาสติกลงตามราคาน้ำมัน ต่อเนื่อง ซัพพลายเม็ดพลาสติกที่มากขึ้น (ไม่แพ้ซัพพลายน้ำมัน) คาดว่าจะเป็นความเสี่ยงของผู้ผลิตเม็ดพลาสติก ที่ยังไม่ได้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ซึ่งกลุ่มนี้เป็นพวกต้นน้ำและกลางน้ำ แต่พวกผู้ผลิตสินค้าปลายน้ำสุด ๆ น่าจะได้ผลบวกอย่างมากจากราคาเม็ดพลาสติกลดลง  

ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนในปีใหม่นี้

วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย

6 มกราคม 2559