สมาคมผู้ถือหุ้นไทยTHAI SHAREHOLDER ASSOCIATION
tsa.or.th
ข่าวสารความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนักลงทุน

ทิศทางการลงทุน

 สวัสดีเพื่อนนักลงทุน เข้าช่วงเวลาเปิดเทอมสำหรับนักเรียน แต่ถ้าเป็นการลงทุนช่วงนี้จะมีทั้งช่วงเก็งผลการดำเนินงาน และประกาศผลประกอบการ ให้ได้ลุ้นกันระทึก ในช่วงไตรมาส 3/58 นี้ แม้ว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะประกาศผลการดำเนินงานไปแล้ว ตามปกติกลุ่มนี้จะประกาศผลการดำเนินงาน ภายใน 20 วันหลังจากปิดงบไตรมาสนั้น ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นขาประจำของการประกาศงบเร็ว ได้แก่  PTTEP ประกาศออกมามีผลขาดทุนสุทธิสูงมากถึง 4 หมื่นล้านบาทในไตรมาสเดียว SCC ประกาศผลประกอบการในวันพุธปลายเดือนถัดไปหลังจากปิดงบ ส่วนใหญ่ก็มักจะตรงกับวันที่ 28 หรือ 29 ของเดือน มีการพรีวิวไปก่อนหน้านี้แล้วว่างบออกมาไม่สดใสนัก หุ้นก็ตกรับข่าวไปแล้ว SSI DCC เป็นพวกขาประจำประกาศงบเร็ว ไม่ต้องกังวล SSI แล้วยังไงก็ขาดทุนหายห่วงเหมือนไตรมาสที่ผ่านมา ที่น่าแปลกก็คือ PTTEP ที่ประกาศงบออกมาแล้วขาดทุนแต่ล้วนมีคำแนะนำว่าให้ซื้อต่อไป เพราะราคาหุ้นสะท้อนการปรับตัวลดลงหนักของผลประกอบการไปแล้ว

PTTEP ปลอดภัยและน่าซื้อจริงหรือ?

ผลประกอบการไตรมาส 3/58 ของ PTTEP มีผลขาดทุนสุทธิ 4.6 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อดูจากผลประกอบการที่ไม่รวมการด้อยค่าที่มากถึง 5 หมื่นล้านบาท ก็พบว่ายังมีกำไรที่ไม่รวมขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนราว 3.1 พันล้านบาทในไตรมาสนี้ ขณะที่ปริมาณการขายเท่ากับ 332,203 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.05% เทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 2.14% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่พิจารณาราคาขายทั้งก๊าซและปิโตรเลียม ลดต่ำลงมาอยู่ที่ 44.55 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ไตรมาสนี้ต่ำสุดนับจากต้นปี แม้ว่าต้นทุนการผลิตต่อหน่วยก็ต่ำลงมาอยู่ที่เพียง 38.51 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เปรียบเทียบเป็นส่วนต่างราคาขายกับต้นทุนแล้วน่าวิตก เพราะไตรมาสนี้ ลดมาอยู่ที่ 6.04 เหรียญฯ ต่อบาร์เรลฯ เทียบกับไตรมาส 2/58 ยังอยู่ที่ 6.55 เหรียญฯ ยิ่งนำไปเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงถึง 21.14 เหรียญฯ หากลองเทียบส่วนต่างยอดขายและกำไรในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ต่ำเพียง 7.02 เหรียญฯ เทียบกับ 9 เดือนแรกของปีก่อน 23.71 เหรียญฯ ลดลงมาเกิน 3 เท่าตัว แนวโน้มขาขึ้นของราคาน้ำมันยังไม่เห็นว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า แม้ว่าไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ย่างเข้า High Season แล้ว ยังไม่เห็นแววราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นไปแรง ความหวังเห็นราคาน้ำมันขึ้นไปที่ 50-60 เหรียญฯ ดูจะยังยาก แต่เมื่อขึ้นไปได้ก็ไม่แน่ใจว่าจะยืนในระดับนี้ไหว และหากว่าราคาน้ำมันถอยลงต่อไปอยู่ที่ 30-40 เหรียญฯ หรือไป 20 เหรียญฯ อย่างที่เคยมีโบรกเกอร์ต่างประเทศใหญ่รายหนึ่งเคยทำนาย การบันทึกด้อยค่าของ PTTEP คงเกิดขึ้นได้อีก หากพิจารณาในรายละเอียด การด้อยค่า และผลขาดทุนของ PTTEP ทั้งหมดมาจากแหล่งในต่างประเทศ ส่วนแหล่งในประเทศมีกำไร ซึ่งเมื่อพิจารณาช่วงการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศของ PTTEP ส่วนใหญ่มักจะได้มาขณะที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงตั้งแต่ 55-80 เหรียญฯ แทบทั้งนั้น การที่ราคาน้ำมันราคาต่ำกว่าต้นทุนที่ได้มาของแหล่งต่าง ๆ ทำให้ต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนจากหน่วยการผลิต แม้ต้นทุนการผลิตลดลงได้ ซึ่งล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ราว 38 เหรียญฯ แล้ว มาร์จิ้นของธุรกิจสำรวจและผลิตต่ำมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต้องระมัดระวังว่าต้นทุนอาจจะลดลงไม่ได้ตามราคาน้ำมันแล้ว และการผลิตอาจจะต้องเผชิญการขาดทุนต่อหน่วย ความเห็นเกี่ยวกับการลงทุนของ PTTEP เราคงคาดหวังว่าจะฟื้นกลับมามีกำไรปีละ 4 หมื่นล้านบาท คงเป็นเรื่องยากแล้วในภาวะราคาน้ำมันแบบนี้ 2 หมื่นล้านบาท ต่อปีเหมือนในอดีต ยังไม่น่าจะเป็นได้ หากราคาน้ำมันไม่กลับไปยืน 80-90 เหรียญฯ ดังนั้นด้วยระดับราคา 74-75 บาทนี้ ก็ยังนับว่าแพงเทียบกับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นค่าพีอี ซึ่งปีนี้คงหาค่าไม่ได้ ถ้าคิดที่ปีหน้า หากไม่พลิกล็อกกลับต้องมาบันทึกขาดทุนเพราะราคาน้ำมันลงอีก  กำไรต่อหุ้นคาดการณ์ (Consensus) มีค่าระหว่าง 3.60-7.65 บาทต่อหุ้น (ระดับ 7 บาทคือ 20,000 ล้านบาทขึ้นไป เห็นจะยาก) ค่ากลาง ๆ ที่ 5.4 บาทต่อหุ้น กำไรจะอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท เป็นไปได้แต่น่าจะต้องลุ้นมาก ขนาดนี้ก็ทำให้เห็นพีอี 20 เท่าได้แล้ว หากนักลงทุนมีโอกาสเลี่ยงได้ก็น่าเลี่ยงไปลงทุนหุ้นอื่น เพราะเทรนด์ราคาน้ำมันลงนี้เกิดจากมีเทคโนโยลีและสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่น้ำมัน ซัพพลายเพิ่มขึ้นจากการผลิตและส่งออก Shale Gas ดีมานด์น้ำมันลดลงจากการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง เราไม่ควรฝืนเทรนด์ขนาดใหญ่ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะการเทคโนโลยี่เปลี่ยน ส่วนการเลือกเข้าลงทุนหุ้นในกลุ่มที่น่าจะมีเทรนด์ขาขึ้นในปีหน้า เรามองไปที่ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าคอมมอดิตี้ และอุปโภคบริโภคที่เป็นปลายน้ำ ซึ่งได้ผลบวกจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เกิดการประหยัดต้นทุน และต้นทุนจากโภคภัณฑ์ต้นน้ำ โดยเฉพาะราคาน้ำมันปรับตัวลง ส่งผลให้มาร์จิ้นกว้างมากขึ้น ซึ่งจะกล่าวในครั้งหน้า

วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย